ผู้เยี่ยมชม

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

ความแตกต่างระหว่าง LCD TV, LED TV และ Plasma TV



กาลเวลาเปลี่ยนแปลงยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนวิวัฒนาการและเทคโนโลยีก็หมุนเวียน เปลี่ยนตาม จากเดิมที่เริ่มจำความได้ว่าทีวีบ้านเราๆนั้นจะเป็นจอสีเหลี่ยมจัตุรัส ที่ มีขนาดให้เลือกตั้ง 14,21,25,29นิ้วให้คุณเลือกตามกำลังและความต้องการ เวลาล่วงเลยมาได้2-3ปีให้หลังคุณอาจจะเห็นทีวีลดน้อยลงไปแทบจะไม่เห็นเลย เพราะ Plasma TV กับ LCD TV จากความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าทั้งความสามารถทั้งขนาดที่ดูแล้วควบคู่มากับราคาที่เปลี่ยนจากเดิม จึงทำให้ เข้ามาตีตลาดให้จอทีวีค่อยๆลดหายลงไป และในปัจจุบันสิ่งเปลี่ยนแปลงและค่อยๆ ก้าวเข้ามาคือ LED TV ซึ่งผมเคยกล่าวเปรียบเทียบ LCD กับ Plasma มาบ้างแล้วในบทความก่อนหน้า วันนี้ขอเพิ่ม LED TV มาแจมด้วยครับ

คงอยากรู้กันแล้วสินะครับว่าทั้ง LCD TV, LED TVและPlasma TV แตกต่างกันอย่างไร เรามาเริ่มรู้จักที่ละอย่างเลยครับ เริ่มที่ตัวของ LCD TV ก่อนเลย จากราคาที่น่าสนใจและตลาดที่แทบจะทุกค่ายผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ผลิตออกกันมาส่วนใหญ่จะเป็น LCD TV

LCD TV (Liquid Crystal Display) ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง Backlight ส่องแสงไปที่ผลึกเหลว (ลักษณะ คล้ายๆเยลลี่ ดังนั้นถ้าลองสังเกตดูว่าถ้าเอามือจิ้มลงไปที่จอจะรู้สึกว่านิ่มๆ) ที่หยอดเอาไว้ระหว่างช่องกระจกจะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทำให้โมเลกุลของลิควิดคริสตัลในส่วนของจุดภาพ พิกเซล (pixel) นั้นหมุนเป็นมุม 90 องศา เพื่อให้เกิดได้ทั้งจุดสว่าง และจุดมืด (แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง) หากเรากล่าวว่าเทคนิคของ LCD คือการบิดตัวโมเลกุล แล้วเอาเงาของมันมาใช้งานก็ถือว่าถูกต้องอย่างที่สุด LCD ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 นิ้ว ครับ


LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาดเล็กจิ๋ว อาทิเช่นหลอดไฟท้าย Minor Change ของ Honda Civic โฉมปัจจุบัน ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสันต่างๆ


PLASMA TV ภาพแบบพลาสม่าทีวี แสดงภาพโดยการใช้แสงที่เกิดจากการแตกตัว ionized ของ neon gas (นีออน)เพื่อแสดงผลของภาพออกมาที่แผงหน้าจอ ภายในจอภาพมีองค์ประกอบที่เต็มไปด้วย neon gas แต่ละพิกเซลกำเนิดแสงได้เองPlasma ทีวี จะเน้นทำแต่ ขนาดใหญ่ๆครับ 42 นิ้วขึ้นไป จนถึงขนาด 150 นิ้ว ครับ


ความแตกต่างของจอทั้ง 3 ชนิดคือ หลอดภาพที่แตกต่างกันในการแสดงผลครับ ข้อดีข้อเสียของของจอทั้ง 3ชนิด มีดังนี้ครับ


ข้อดีของ LCD TV

1. ให้สีที่สว่างสดใสเหมาะกับการแสดงสีกราฟฟิก เช่น การ์ตูน , สารคดี และละคร
2. เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขก (หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร แอลซีดี ทีวีก็จะเหมาะสมกว่า)
4. อาการ Burn-In จะมีโอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่าด้วยนะครับ


ข้อดีของ LED TV

1.ลักษณะจอมีขนาดบางกว่าจอLCD และจอPlasma
2.ความสว่างและสีสันค่อนข้างสดกว่า
3.กินไฟน้อยกว่าจอทั้ง2ชนิด


ข้อดีของ Plasma TV

1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดีกว่า เนื่องจากมี Response Time .001 ms จึงเหมาะกับการใช้รับชมภาพยนตร์ Action และการรับชมกีฬาเป็นอย่างมาก
2. อายุการใช้งาน ยาวนานกว่าที่ 100,000 ชั่วโมง (Half Brightness)
3. สามารถแสดงระดับพื้นสีดำได้ดีกว่า
4. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
5. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า แอลซีดี
6. ให้สีที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติ มากกว่า สีออกโทนอุ่น

ข้อเสียของ LCD TV

1. ไม่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดี เนื่องจากมี Response Time เร็วที่สุดในขณะนี้เพียงแค่ 2 ms เท่านั้น
2. มีความเพี้ยนของสีเกิดขึ้นโดยเฉพาะสีแดง, โทนสีผิว, สีท้องฟ้า ทะเล
3. ไม่สามารถแสดงสีดำสนิทได้เนื่องจาก Backlight เปิดตลอดเวลาในขณะที่เครื่องทำงาน ทำให้มีแสงขาวเล็ดลอดออกไปในฉากที่เป็นสีดำ จึงทำให้ฉากสีดำเป็น “ดำสว่าง” ไม่ใช่ “ดำมืด” อย่างที่ควรเป็น

ข้อเสียของ LED TV

1.ราคาแพงกว่า จอLCD และ Plasma
2.ตลาดยังไม่ได้รับความนิยม และยังมีราคาแพง

ข้อเสียของ Plasma TV

1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น (ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์)
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่น หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากว่าทั้งจากตัวทีวีเอง และการทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเพราะ Plasma TV มีความร้อน ออกมาจากตัวเครื่องมากกว่า
5.ค่าซ่อมแพง ซ่อมต้องซ่อมเปลี่ยนทั้งหลอดภาพหมดทั้งชุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น