ผู้เยี่ยมชม
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เลือกซื้อลำโพงอย่างไร ? ให้เหมาะสมกับความต้องการ
ลำโพงถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถถ่ายทอดพลังเสียงออกมา ให้เราได้ยินกันได้ ซึ่งในปัจจุบัน ถือได้ว่าลำโพงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน และในชีวิตประจำวันของคนเราไปแล้ว ในการเลือกซื้อลำโพงที่ถูกใจไว้ใช้งานนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเหมือนกัน ดังนั้นจึงควรต้องศึกษาถึงรายละเอียดของลำโพงให้ดีก่อนการเลือกซื้อ เพื่อที่จะทำให้คุณได้ลำโพงที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณมากที่สุด
เสียงดังกับเสียงดีนั้น เป็นเสียงที่คนละอย่างกัน เสียงดีย่อมประกอบไปด้วย เสียงที่มีความใส มีเสียงทุ้ม เสียงแหลม ออกมาอย่างครบถ้วน สามารถให้ความบันเทิงได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งแตกต่างจากเสียงดัง เพราะบางทีนั้นลำโพงที่ให้เสียงดังอย่างเดียวแต่ไม่สามารถให้เสียงที่ไพเราะได้ ก็ไม่ควรเลือกซื้อมาใช้กัน
ในการเลือกซื้อจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับลำโพงแบบต่างๆ ให้เข้าใจก่อนว่า แต่ละรุ่นมีการใช้งานอย่างไร แล้วเหมาะกับความต้องการของเรามากน้อยแค่ไหน ดังนั้น เราจึงต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ของลำโพงกันก่อนนะครับ เพื่อที่จะทำให้ท่านได้ลำโพงที่มีคุณภาพ และเหมาะกับการใช้งานของท่านมากที่สุด
ส่วนประกอบของลำโพง
ลำโพงที่เราเห็นอยู่ในท้องตลาดนั้น โดยส่วนใหญ่ลำโพงจะอยู่ในรูปของตู้ลำโพงที่อาจจะทำจากไม้หรือพลาสติกที่มีความทนทาน โดยภายในจะประกอบด้วย Driver หรือตัวดอกลำโพง ซึ่งจะมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้กำเนิดเสียง ซึ่งได้แก่ Amplifier และ Crossover Network ซึ่งอุปกรณ์ภายในเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดขนาด หรือรูปแบบเสียงของลำโพงที่ออกมา จำนวนดอกลำโพงที่ใช้ ก็จะมีผลต่อความเป็นธรรมชาติของเสียงที่ออกมา ถ้ามีดอกลำโพงหลายตัวก็จะทำให้เสียงที่ได้ครอบคลุมย่านความถี่ของเสียงได้มากกว่า ให้รายละเอียดของทุกชิ้นเครื่องดนตรีได้ดีกว่า
ลำโพงแบบ 2 ทาง จะประกอบด้วยลำโพงของ วูฟเฟอร์ และทวีตเตอร์ ในย่านความถี่เสียงกลางและเสียงต่ำจะถูกขับออกทางวูฟเฟอร์ ส่วนความถี่เสียงสูงก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์
สำหรับลำโพงแบบ 3 ทาง ก็จะประกอบด้วย ซับวูฟเฟอร์, วูฟเฟอร์ และทวีตเตอร์ เสียงต่ำสุดก็จะถูกขับออกทางซับวูฟเฟอร์ เสียงกลางจะถูกขับออกทางวูฟเฟอร์ และเสียงแหลมก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์
ลำโพงแบบหลายทางจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Crossover Network เป็นตัวแบ่งสัญญาณเสียงในแต่ละย่านออกจากกันและจ่ายไปให้ลำโพงที่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะเป็นสองทางหรือสามทางแล้วแต่ว่าเป็นลำโพงแบบไหน นอกจากนี้ Crossover Network ยังทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเสียงในแต่ละย่านความถี่ พร้อมทั้งมีระบบการป้องกันการทำงานที่เกินกำลังของลำโพงและการป้องกันระดับความถี่ของเสียงที่สูงเกินกว่าลำโพงจะรับได้
เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับลำโพง Tweeter ,ลำโพง Woofer, และลำโพง Sub Woofer กัน
ลำโพง Tweeter ทวีตเตอร์เป็นลำโพงที่ใช้สำหรับขับเสียงความถี่สูง โดยทั่วไปจะมีความถี่เกินจาก 1.5 KHz(กิโลเฮริตซ์) ขึ้นไป
ลำโพง Woofer ลำโพงวูฟเฟอร์จะใช้สำหรับขับเสียงความถี่ต่ำ คือในระดับความถี่ไม่เกิน 1.5 KHz เนื่องจากความถี่ต่ำมีความยาวของคลื่นค่อนข้างมาก ลำโพงวูฟเฟอร์จึงต้องมีขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถขับอากาศได้เพียงพอสำหรับสร้างเสียงความถี่ต่ำ ยิ่งวูฟเฟอร์มีขนาดใหญ่เท่าใด กำลังในการขับและความดังของเสียงเบสก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น วูฟเฟอร์จะใช้ในการขับเสียงกลางและเสียงต่ำ
ลำโพง Sub Woofer ซับวูฟเฟอร์เป็นลำโพงที่ใช้ขับเสียงความถี่ต่ำที่สุด คือ ในระดับความถี่ถึง 500 Hz ยิ่งขนาดของลำโพงซับวูฟเฟอร์มีขนาดใหญ่มากเท่าใด พลังในการขับก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ในระบบลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์จะให้เสียงในระดับความถี่ต่ำได้ดีเป็นพิเศษ
ลำโพงแบบต่างๆ
หลายคนที่กำลังหาลำโพงสักตัวไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นลำโพงแบบ 2.1, 4.1, 5.1,6.1,7.1 แชนแนล ท่านรู้ไหมว่าลำโพงแบบต่างๆ นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร เราจะมาไขความสงสัยนี้ให้นะครับ ก่อนอื่นท่านต้องทำความเข้าใจกับคำเหล่านี้ก่อนนะครับ
Mono (1 channel )
คำว่า MONO นี้มีความหมายว่าอะไร หลายคนคงจะเคยเห็น วิทยุที่มีลำโพงเดียว หรือ gramophone เช่น วิทยุสมัยก่อนครับ หลักการของ Mono คือส่งสัญญานเสียงออกมาที่ลำโพงตัวหลัง และตัวเดียว โดยที่ Mono นี้ไม่มี มโนภาพของเสียง อีกความหมายหนึ่งคือ เราไม่สามารถบอกได้ว่า เสียงนี้มาจากตำแหน่งไหน และมาจากที่ใด Mono นั้นจะไม่เหมือนกับพวก stereo และ multi-speaker อื่นๆ หากเราเอาลำโพง Mono ไปเล่นกับเครื่องเสียงที่เป็น stereo เสียงที่ออกมาก็ยังเป็น Mono อยู่ดี แต่เสียงจะออกมาจากลำโพง 2 ลำโพง แต่เสียงที่เราได้รับทั้ง 2 ลำโพงจะเป็นเสียงๆเดียวกัน เหมือนกันทั้ง 2 ลำโพง เหมือนว่าเสียงนั้นมาจากที่เดียวกัน
Stereo (2 channel )
เสียงแบบ Stereo นี้จะมีความแตกต่างจาก Mono มากพอสมควรทีเดียว โดยในการจัดวางลำโพงนั้นจะต้องจัดวางลำโพงทั้ง 2 ตัว โดยที่ตัวหนึ่งอยู่ทางซ้าย และอีกตัวหนึ่งอยู่ทางขวาของผู้ฟัง โดยเสียงแบบ Stereo นี้เราจะสามารถบอกสถานที่ของตำแหน่งของเสียงได้ ซึ่งต่างจากลำโพงแบบ Mono เช่น เมื่อเราเปิดเพลง เพลงที่เราได้ยินกันนี้ อาจจะได้ยินเสียงของกลอง อาจจะอยู่ตรงกลาง เสียงกีต้าร์อยู่ด้านขวาของลำโพง เสียงเปียโนอยู่ทางด้านซ้ายของลำโพง และเสียงนักร้องจะ อยู่ตรงกลาง ทำให้เสียงที่ได้นั้นมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นลำโพงที่ดีกว่าลำโพงแบบแรก
Speaker 2.1 channel
ลำโพงแบบ 2.1 แชนแนลนี้เป็นลำโพงที่ได้มีการพัฒนามาจากลำโพงแบบ 2 แชนแนล คือจะมีการเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามาอีกตัว ซึ่งสามารถเพิ่มพลังเสียงเบสขึ้นมา ทำให้มีเสียงที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันลำโพงแบบนี้เป็นลำโพงที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นลำโพงที่มีราคาไม่แพงมากนัก และสามารถให้เสียงที่ดี สามารถติดตั้งได้ง่าย
4 Point Surround ( 4.1 channel)
โดยลำโพงแบบนี้จะประกอบไปด้วยลำโพงมากถึง 4 ตัว และ subwoofer อีก 1 ตัว เรียกอีกอย่างว่าเป็นลำโพงแบบ 4.1 ซึ่งลำโพงแบบนี้ต้องใช้คู่กับซาวนด์การ์ดที่เป็นแบบ 4.1 ด้วย ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันมากในปัจจุบันนี้ โดยลำโพง 4 ตัวนี้จะจัดอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันคือ หน้าซ้าย,หน้าขวา,หลังซ้าย,หลังขวา และ subwoofer โดยที่ลำโพง Subwoofer นี้จะไม่นับเป็นลำโพงที่ 5 เพราะเป็นลำโพงที่มีความถี่ต่ำ เขาจึงนับแค่ .1 โดย แต่ละ ลำโพงของ 4 Point Surround จะออกเสียงที่แตกต่างกัน โดยแต่ล่ะตัวมีหน้าที่แตกต่างกันและมีสัญญาณเป็น ของตัวเอง ยกเว้น Subwoofer ที่ต้องอาศัยความถี่ของ ลำโพงทั้ง 4 ตัว ในการออกเสียงแทน
Speaker 5.1 (6 channel)
โดยลำโพงแบบ 5.1 นี้จะใหญ่กว่าลำโพงแบบ 4.1 ขึ้นมาอีกหน่อย ที่แตกต่างก็คือ จะเพื่มช่องสัญญาณ ขึ้นมาอีก 2 Channel ให้กับลำโพงตัวกลางที่เพื่มเข้ามาและ subwoofer โดยแบบ 5.1 นี้ Subwoofer จะมีช่อง Channel เป็นของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังนับเป็น x.1 อยู่ดีเพราะความถี่ของ Subwoofer นั้นมีความถี่ต่ำเกินกว่าที่จะนับเป็บ 1.0 โดยลำโพงแบบนี้จะ support Dolby Digital และ DTS (Digital Theater Systems) Surround systems โดยเราจะพบเห็นได้ในโรงหนังทั่วไป
Speaker 6.1 channel
โดยลำโพงแบบ 6.1 นี้ ก็จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าลำโพงแบบ 5.1 ที่บอกมาข้างต้น มี 1ช่องสัญญาณลำโพงกลาง ที่เพิ่มเข้ามาอีก ลำโพงแต่ละตัวจะมีการจัดวางที่แตกต่างกัน แล้วการให้เสียงก็มีความแตกต่างกันด้วย ลำโพงแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในตอนนี้ สามารถให้เสียงที่ไพเราะ มีคุณภาพเสียงที่ดี ทำให้บ้านของท่านกลายเป็นสถานบันเทิงย่อมๆได้เลย
Speaker 7.1 (8 channel)
ลำโพงแบบนี้เป็นลำโพงที่หรูที่สุดในบรรดาลำโพงที่บอกมาข้างต้นและกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้ แต่ยังมีให้เห็นไม่มากนัก มีความแตกต่างจาก 5.1 ก็คือจะเพิ่มลำโพงตรง กลางซ้าย, กลางขวา มาอีก 2 ตัว
การเลือกซื้อลำโพงต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง (How To Buy)
การเลือกลำโพงจึงต้องการความประณีต ต้องการการทดสอบก่อนใช้งาน ต้องการการทดสอบฟังเสียง เพราะบางทีอาจได้ลำโพงที่ไม่ถูกใจ เช่นต้องการเสียงปืนใหญ่ ออกมากลายเป็นเสียงปืนแก๊ป หรือเสียงรถแข่งกลายเป็นเสียงที่ฟังไม่ออกว่าเป็นรถแข่ง ดังนั้นประการแรกเลย ก็คือ ทดสอบฟังเสียง
ทดสอบลำโพงก่อนการเลือกซื้อ
การเลือกซื้อลำโพงนั้น เครื่องมือในการทดสอบพลังเสียงที่ดีทีสุดคือ หูของเราเอง อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในการฟังของแต่ละคนแตกต่างกัน ถ้าหากใครที่เคยมีลำโพง มีระบบมัลติมีเดียมาบ้างแล้ว อาจจะได้รับประสบการณ์จากการใช้งาน การฟังเสียงลำโพงเดิมมาบ้าง แต่ถ้าหากไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย ก็อาจจะทำให้การเลือกซื้อนั้นลำบากไปบ้าง นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของการทดสอบฟังเสียงก็ยังแตกต่างกันออกไป เสียงรอบข้างที่รบกวนมีผลทำให้ผลการทดสอบไม่เด่นชัด เลือกไม่ถูกว่า ได้ลำโพงที่ถูกใจหรือยัง แต่สิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งคือ การตัดสินลำโพงจากรูปทรงภายนอก เห็นว่ามีรูปทรงสวยขนาดใหญ่ รูปทรงทันสมัย แสดงว่าอาจจะมีเสียงดี หรือตัดสินจากการทนแรงขับ เป็นวัตต์ของลำโพง เช่น 26 ,96 ,120วัตต์ PMPO /RMS พวกนั้นเป็นสิ่งที่หลอกลวงผู้ซื้อได้ง่ายที่สุด อย่าหลงประเด็นเป็นอันขาด ทำนองเดียวกับเครื่องเสียงมินิคอมโปที่ขายกันอยู่ตามร้านขายเครื่องเสียงทั่วไป การทดสอบทำได้โดยการทดสอบด้านที่ต้องการนำเอาไปใช้งาน ถ้าหากต้องการนำเอาไปฟังเพลงก็ทดสอบว่าเมื่อใช้ฟังเพลง ลำโพงนั้นให้มิติของเสียงครบหรือไม่ เสียงทุ้ม เสียงแหลม ความสมจริงของเสียงดนตรี ประการนี้หากใครเป็นนักเล่นเครื่องเสียง นักฟังเพลงอยู่แล้วก็คงจะง่ายขึ้น
หลังจากพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกลำโพง ได้เรียนรู้ประเภทของลำโพงต่างๆ ได้รู้ชนิดของลำโพงต่างๆสำหรับการใช้งานจริง ๆ ของคุณแล้ว ต่อไปก็ตัดสินใจด้วยหูของคุณเอง ก่อนที่จะเลือกซื้อ ให้ลองฟังเสียงลำโพงหลาย ๆ ยี่ห้อที่มีระดับราคาเดียวกัน และเป็นราคาที่ท่านสามารถซื้อได้ ถ้าเจอลำโพงเสียงแบบที่คุณถูกใจ สเปกของลำโพงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปก็ได้ครับ เพราะมักมีผู้กล่าวไว้ว่าเรื่องของเสียง "ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่ว่า ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น" จึงเป็นหน้าที่ของคุณจะต้องตัดสินใจเลือกแล้วล่ะครับ..
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น