ผู้เยี่ยมชม

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มือใหม่ซื้อเครื่องเสียง


“มือใหม่ซื้อเครื่องเสียง”

 วันนี้ผมอยากมาแนะแนวทางใน ” การเลือกซื้อเครื่องเสียง ” ให้เพื่อนที่เริ่มจะหัดเล่น ได้ลองพิจารณาดู จะได้จ่ายเงินซื้อเครื่องเสียงให้คุ้มค่ากับที่เงินอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมา


ผมมีเงินอยู่…..บาท

ซื้อเครื่องไหน “ดีที่สุด” ครับ ?


เป็น คำถามยอดฮิตสำหรับมือใหม่ เป็นคำถามที่มือเก่าไม่ค่อยอยากตอบ ถึงพยายามจะตอบคำตอบก็ไม่ใช่อย่างที่ผู้ถามต้องการ จะบอกว่ามันคล้ายกับถามว่ารถอะไรดีที่สุดในราคา 1ล้านบาท ถามเซียนรถสิบคน อาจได้คำตอบไม่เหมือนกันเลย เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องคิดใช้ในการหาคำตอบ รูปลักษณ์ ความเร็ว ประโยชน์ใช้สอย ความประหยัด การซ่อมบำรุง ราคาขายต่อ ความโออ่า ความปลอดภัย หรือความภูมิฐาน

เรื่อง เครื่องเสียงซับซ้อนกว่านั้นมาก เสียงไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็นได้ สัมผัสเดียวที่ใช้คือหูของเราที่แปลงสัญญาณเสียงเป็นความรู้สึกชอบหรือไม่ ชอบคนสองคนนั่งฟังเพลงด้วยกัน คนหนึ่งอาจคิดว่าเสียงดีเหลือหลาย

อีกคนอาจจะคิดในใจว่าไม่เอาไหนอย่าง นี้ก็ไม่แปลก ต่างคนต่างมีประสบการณ์และรสนิยมที่แตกต่างกัน ดังนั้นคำตอบของคำถามนี้เราจะต้องหาคำตอบเอง ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับงบประมาณ รสนิยมความชอบ ห้อง และการใช้งานของเรา เพราะอย่างนี้แหละจึงมีเครื่องเสียงหลากหลายยี่ห้อ นั่งไล่ชื่อกันทั้งวันไม่หมด


เครื่องเสียง “ดี” เป็นอย่างไร


บางคนคิดว่าเครื่องที่ดีจะต้องเป็นเครื่องให้เสียงเที่ยงตรงที่สุด ความเพี้ยนต่ำที่สุด เหมือนอุปกรณ์ในห้องแล๊ป ความจริงนั้นถูกแค่ส่วนเดียว จริงครับ ตัวที่ผลการวัดได้เที่ยงตรงกว่ามีโอกาสที่จะได้รับคำวิจารณ์ไปในทางที่ดี มากกว่า แต่บางตัวผลการวัดแย่มาก แต่ได้รับคำชมทั่วโลกมีถมไป อย่างพวกหลอดหรือลำโพงบางคู่

ดังนั้นหากจะซื้อแล้วดูแต่สเปคเครื่องเป็นหลักในการเลือกซื้อ แบบนี้เรียกว่าหลงทาง แต่จะไม่ดูสเปคเลย ก็ไปไม่รอดเหมือนกันครับ

อย่าง เรื่องกำลังขับ ความไวของลำโพง ความต้านทานเข้าขา-ออกของอุปกรณ์ พวกนี้ควรจะเรียนรู้เอาไว้บ้าง เป็นแนวทางเลือกให้อุปกรณ์ให้ทำงานได้ดีตามที่มันออกแบบมา

เครื่องเสียงทุกชิ้น มีบุคลิกการนำเสนอเสียงของตัวเอง มากน้อยก็ขึ้นกับคุณภาพ อยากรู้ว่าตัวไหนให้เสียงดีอย่างที่เราชอบ ต้องหาประสบการณ์ไปการฟัง ประสบการณ์จากการได้เล่นได้ลอง จะหล่อหลอมจนเป็นความชอบส่วนตัว

ความชอบที่ว่าเสียงดีนี้ ไม่ใช่สิ่งตายตัว เมื่อประสบการณ์มากขึ้น อายุมากขึ้น ความชอบก็อาจเปลี่ยนไปได้ ความจริงแนวเสียงหลักๆ ที่เค้าว่าดี มีอยู่ไม่กี่แบบ ที่เซียนทั้งหลายชอบพูดถึงและมือใหม่ควรหาประสบการณ์ อย่างเช่นเสียงแบบ Accuphase แบบ Mark แบบ Krell หรืออย่างลำโพงก็ ProAc, Totem พวกนี้ควรไปฟังเอาประสบการณ์ เพื่อหาเสียงดีในแบบฉบับของตัวเอง

ตัวที่ดังๆ ทุกตัวจะมีดีในตัวที่เราควรศึกษา แต่ใช่ว่าเราจะเป็นชอบเสมอไป อย่างเช่น Accuphase คนชอบทั่วบ้านทั่วเมือง พอได้ฟังผมยอมรับว่า เสียงละเมียดเหลือเกิน แต่ชอบอย่าง Mark มากกว่า เป็นต้น

เครื่องเสียงที่ดีคือ พวกที่เจือบุคลิกที่เป็นเสน่ห์ของตัวเองอย่างพอเหมาะพอดี เป็นธรรมชาติ พร้อมรักษาความเป็นกลางในการถ่ายทอดเสียงที่บันทึกออกมาอย่างได้อารมณ์เพลง ได้จังหวะลีลาที่ถูกต้อง ประเภทแบบร้อยเพลงหนึ่งลีลานี้ไม่ไหวครับ

ฟังเพลงจังหวะสนุก ก็ต้องสนุก เพลงหวานซึ้งก็ควรได้อารมณ์ตามนั้น ซึ่งความสามารถอันนี้แหละครับที่แยกเครื่องที่คุ้มค่าเงินออกจากเครื่อง ธรรมดาในระดับราคาที่มันขายอยู่ ฟังดูอาจจะดูน่าสับสน แต่เมื่อไรมีประสบการณ์มากขึ้น จะเข้าใจครับ

ระหว่าง บุคลิกกับความเป็นกลางในการถ่ายทอดอารมณ์เพลง หากจะเปรียบให้เห็นง่าย ก็เหมือนหาแม่บ้านบุคลิกหน้าตาดี ถูกใจเรา แล้วงานบ้านงานเรือนไม่บกพร่อง ได้ทุกอย่าง นั้นสุดยอดศรีภรรยาอะไรทำนองนี้


จ่ายเท่าไรดี ?

เหมือนเรื่องอื่นในชีวิตประจำวันครับ จ่ายมากได้มาก จ่ายน้อยได้น้อย

ประเภท เสียงดีกว่าอีกตัวที่ราคา 2 -3 เท่าตัว เอาไว้เทียบตัวที่คุ้มค่าของระดับ ไปเทียบตัวที่แย่ๆ แพงๆบางตัว แต่หากนั่งจบ ตัวที่คุ้มค่าในระดับของมันมาเทียบกัน ก็ตามนั้น ” จ่ายมากได้มากจ่ายน้อยได้น้อย ”

ดังนั้น นักเล่นต้องกำหนดงบประมาณคราวๆที่ต้องการจะจ่ายไว้ในใจก่อน ที่คิดว่าพอดีกับฐานะ เครื่องเสียงไม่ใช่ปัจจัยสี่ ไม่มีมันก็ไม่ตาย เบียดบังค่าเทอมลูกหรือกู้ยืมจนเดือนร้อน อย่างนี้ไม่ดีแน่ เครื่องเสียงนี้มันสร้างมาเพื่อความสุข แต่มีมันแล้วทุกข์ อย่ามีดีกว่าครับ

สูตร ในการแบ่งสัดส่วนงบประมาณนั้น ไม่มีอะไรแน่นอน ขึ้นกับประสบการณ์ของนักเล่น บางสูตรให้ความสำคัญตัวหนึ่งมาก ตัวหนึ่งน้อย แต่มือใหม่ผมแนะนำ 30 เปอร์เซ็นต์สำหรับต้นสัญญาณ 30เปอร์เซ็นต์สำหรับภายขยาย 30เปอร์เซ็นต์สำหรับลำโพง และอีก 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับพวกสายต่าง ที่แบ่งแบบนี้เพราะเป็นสัดส่วนไม่หลงทางได้ง่าย และไม่ขัดความรู้สึกของคนซื้อนัก

เมื่อประสบการณ์แก่กล้า ซื้อสายราคาเท่าแอมป์อย่างนี้ก็ไม่แปลกครับ แต่ชุดแบบหัดเดินเล่นสายราคาเท่าแอมป์นี้เรียกว่าหลงทางครับ

เชื่อหูตัวเอง

หรือเชื่อนักหูทดสอบดี ?


เครื่องเสียงในตลาดมีมากครับ จะให้เชื่อหูตัวเองอย่างเดียว โดยออกไปตระเวนหาฟังตัวที่ชอบ คงไม่ไหวครับ

ใน ตลาดเครื่องเสียงมีเป็นร้อย แถมไปเจอชุดที่ไม่คุ้นเคย จับประเด็นได้ไม่ค่อยละเอียดนัก ด้วยสาเหตุนี้ ฟังๆเซียนนักทดสอบที่เกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมืองนี่ ไว้บ้างก็ดีครับ คือท่านได้ทดสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย กลั่นกรองแล้วว่าตัวไหนที่เข้าตาท่านบ้าง ก็เลือกๆดูก็แล้วกันครับว่า จะเชื่อถือท่านใด ก็มีบ้างครับที่ตัวดีๆ จะหลงหูหลงตา แต่แค่ไปลองดูเฉพาะที่ท่านทดสอบนี้ก็ตระเวนไม่ไหวแล้ว หากท่านว่าตัวนี้ขับยาก ตัวนี้เหมาะกับหลอด ก็ควรฟังๆเอาไว้บ้าง

สมัยนี้ เป็นสมัยโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้เราสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกันสินค้าตัวนั้นๆได้อย่างกว้างขวาง ควรค้นหาดูว่าคนอื่นๆทั่วโลกเค้าพูดถึงตัวนี้ไว้ว่าอย่างไรบ้าง ประเภทมีนักวิจารณ์ในแง่ดีหลายสำนัก ก็ย่อมแสดงว่ามีดีแน่ครับ เว๊บที่แนะนำให้เข้าไปค้นหาดูครับ

www.ecoustics.com

เค้ารวบรวมบทความที่ทดสอบเครื่องเสียงทั่วโลกไว้เยอะมาก

อีกเว็บหนึ่งก็นี้ครับ AudioREVIEW.com เป็นคำวิจารณ์จากคนที่เคยใช้ หากมีคนใช้เข้ามาวิจารณ์มากๆ แถมออกมาในแง่ดี อย่างนี้ตัวนี้คงมีดีอะไรแน่ครับ

สำคัญ ที่สุดอ่านแล้วคิดว่าตัวไหนน่าจะใช่ ก็ต้องออกไปลองฟังครับ ชอบตัวไหน ค่อยซื้อ แต่ซื้อเพราะท่านว่าดีโดยไม่เคยฟัง หรือไม่ชอบเท่าไรแต่ท่านว่าดี เสียใจมาหลายแล้วครับ ผมเองก็หลายทีแล้ว เลยอยากจะเตือนไว้ครับ




แล้วเราจะเริ่มตัวไหนดี ?

ควร เริ่มที่ลำโพงครับ แนวเสียงหลักๆ ทุ้ม กลาง แหลมจากชุดเครื่องเสียง ออกมาจากลำโพงนี้เอง หากปักอกปักใจว่าจะเล่นหลอดประเภท 1-5 วัตต์ก็ต้องมองที่ลำโพงที่ขับง่ายๆความไวสูงๆไว้เป็นหลัก ควรเลือกที่เหมาะกับที่ทางของเรา ห้องเล็กขนาด 3 คูณ 4 ก็ควรเล่นวางหิ้งห้องใหญ่ ขนาด 4 คูณ 6 ก็มีโอกาสเลือกได้กว้างกว่า จะวางหิ้งหรือตั้งพื้นก็ได้


หาก ไปลองที่ร้าน ควรไปฟังในร้านที่มีการจัดสภาพห้องไว้ดีพอสมควร เอาแผ่นที่ชอบไปด้วย ขอลองเปลี่ยนลำโพงและแอมป์ดู เพื่อเปรียบเทียบหาลักษณะเสียงของตัวที่กำลังสนใจ ที่สำคัญให้ฟังนานๆครับ หากฟังแล้วรู้สึกดีกับมัน แสดงว่ามันน่าจะใช่ ระวังประเภทสะดุดหูเฉพาะครั้งแรกแต่ฟังนานๆแล้วล้าหู ซื้อมาแล้วจะเสียใจ

สเปค ที่ควรศึกษาในการซื้อก็พวกความไว เผื่อต้องมองหาขนาดกำลังขับที่เหมาะสม ชนิดขั้วต่อเป็นแบบไหน ไบวายได้หรือไม่ เพื่อความสะดวกภายหลัง วัสดุที่ทำขอบกรวยลำโพง ถ้าเป็นยางก็จะทนกว่าพวกโฟม แต่อย่าจริงจังมาก ผมไม่เคยเห็นมือใหม่ซื้อลำโพงมาใช้จนขอบเปื่อยสักที เปลี่ยนตัวใหม่ไปก่อนแล้ว

สเปคอื่นๆก็ไม่ต้องสนใจมากครับ อย่างวัสดุทำกรวยดอกลำโพง ถึงจะทำจากวัสดุทำยานอวกาศ แต่เสียงเราไม่ชอบก็ป่วยการ

ได้ ลำโพงมาแล้วก็มาดูที่แอมป์ครับ มือใหม่ควรเริ่มที่อินทิเกรตแอมป์ เพราะคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป จะเป็นทรานซิสเตอร์หรือหลอดก็แล้วแต่ชอบ ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร ไม่งั้นไม่อยู่คู่วงการมาจนปานนี้

ซื้อกำลังขับแค่ไหนดี?
ขึ้นกับหลายเรื่อง ความไวของลำโพง อคูสติกของห้อง ระยะที่นั่งห่างจากลำโพง แนวเพลงที่ฟังประจำ คนฟังชอบเปิดดังค่อยขนาดไหน ดังนั้นจะให้บอกกันชัดๆว่าเท่านั้นเท่านี้ลำบาก จะให้ดีลองกับลำโพงที่เราเลือกแล้วว่าขับไหวหรือเปล่า หากซื้ออยู่ร้านเดียวกันโอกาสเสี่ยงยิ่งมีน้อย หากไม่มีโอกาสจริง คร่าวๆ ดูความไวของลำโพงตัวที่ชอบเป็นหลัก หากอยู่ที่ประมาณ 87-89 แบบนี้ถือว่าความไวปานกลาง ห้องไม่ใหญ่นัก อินทิเกรตแอมป์สัก 30 วัตต์เหลือเฟือ

หาก ความ ไวสูงกว่านี้ พวก 90 ขึ้นไป ขับง่ายกว่า มาก 10-20 วัตต์ขับสบาย หากความไวต่ำกว่า 87 ก็ต้องการกำลังมากขึ้นไปกว่านี้มากกว่า 50 วัตต์ขึ้นไป แอมป์ใช้มันเกินกำลัง จะได้เสียงที่ไม่ดีควบคุมย่านเสียงทุ้มได้ไม่ดี มิติไม่นิ่ง หากเค้นมันอีก เสียงกลางจะเริ่มแจ๋นออกมา เสียงแหลมจะแตกพร่า ถึงตอนนั้นอันตรายครับ ทวีตเตอร์อาจไหม้ได้

แนวเสียงของแอมป์ฟังได้ยากกว่าลำโพงอยู่บ้าง เพราะคุณภาพของมันจะออกไปในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ เช่นพวกความนิ่ง สะอาด และช่องว่างของชิ้นดนตรีอะไรประมาณนี้

ได้ สองชิ้นแล้ว ต้องหา source บ้าง มือใหม่คงไม่พ้นซีดี จะว่าเลือกง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ซีดีนี้ผมว่าน่าจะเป็นชิ้นสุดท้ายในการตัดสินใจเลือกซื้อ เพราะในเชิงเทคนิคไม่ค่อยมีปัญหาในการเข้ากันได้กับอุปกรณ์ตัวอื่น ใช้ในการจูนเสียงโดยรวมให้ตรงความต้องการอีกที อย่าให้เทคโนโลยีหรือสเปคที่สวยหรูมาหลอกเราได้ เพราะหูของเรานี้เแหละจะเป็นสิ่งที่บอกครับว่า เทคโนโลยีหรือสเปคสวยหรูของมัน ได้รับใช้เราจริงหรือเปล่า

ต่อไปก็เป็นพวกสายสัญญาณ สายลำโพง ขาตั้งลำโพง พวกนี้มีผลกับเสียงแน่ มากน้อยแล้วแต่มุมมอง

อยาก จะเตือนมือใหม่ที่อ่านวิจารณ์พวกนี้เข้า อย่าคิดไปว่าของพวกนี้สามารถเปลี่ยนเสียงจากเสียงแห้งกลายเป็นหวานไปเลย หรือจะไม่มีทุ้มกลายเป็นทุ้มมหากาฬ อย่าหวังอะไรขนาดนั้น ผลของมันในลักษณะที่ปรับปรุงบุคลิกเสียงได้บ้าง เติมส่วนที่ขาดๆเกินๆ ให้ไปในแนวทางที่เราต้องการ และมันต้องมาจากชุดที่มีพื้นฐานพร้อมมาก่อน และต้องลงตัวระดับหนึ่งแล้ว

ผล ของสายต่างๆจึงจะแสดงประสิทธิภาพเต็มที่ สายดีมากๆ แต่ชุดยังไม่ลงตัว เหมือนเอายางรถสปอร์ตไปใส่รถขนผักละครับ ใส่ไปก็บ่นว่าไม่มีผล ต่อว่าของเค้าไม่ดี หลอกลวงไปโน้น

หลัก การในการเลือกแต่ละชิ้นในชุด ควรเลือกให้แต่ละชิ้นแนวเสียงคล้อยไปในแนวทางเดียวกัน เสริมจุดเด่นลดจุดด้อยนิดๆหน่อยๆให้กันและกัน ไม่ควรจัดชุดที่มีลักษณะหักล้างกัน เช่นลำโพงเด่นแหลมเป็นหลักไม่มีทุ้ม เลือกแอมป์ทุ้มมหากาฬ หวังว่ารวมกันแล้วจะดี อย่างนี้จ่ายอีกหลายรอบแน่ครับ

ปัจฉิมลิขิต

ทุกคนจะมีแนวทางการเล่นของตัวเอง แต่นักเล่นเครื่องเสียงที่ดีมีจุดหมายเดียวกัน คือดื่มด่ำความสุขที่ได้จากการฟังเพลง

เมื่อ ได้ชุดเครื่องมาแล้ว ขอให้หาความสุขจากมันและเรียนรู้หาประสบการณ์การฟังจากมันให้คุ้มเงินที่ จ่ายไป พยายามค้นหาคุณภาพที่แท้จริงของมันออกมาโดยไม่ต้องจ่ายหรือจ่ายน้อยที่สุด

ในความเห็นผม เสน่ห์การเล่นเครื่องเสียงอยู่ตรงนี้ ประเภทซื้อมาวันแรกอยู่อย่างไรสามปีอยู่อย่างนั้น แบบนี้มินิคอมโปคุ้มกว่า และเมื่อถึงคราวจะเปลี่ยนเครื่อง ขอให้มีเหตุผลหนักแน่นชัดเจนว่าเปลี่ยนทำไม รู้จักเครื่องที่ต้องการจะเปลี่ยนออกอย่างหมดไส้หมดพุง รู้ว่าจะได้อะไรเสียอะไรจากการที่จะจ่ายเงินครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นนักเล่นเครื่องเสียงประเภทที่เปลี่ยนเครื่องบ่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เหมือนพายเรือในอ่าง

เสียเงินเสียทองไปมากมายก่ายกอง เพื่อตามหาสิ่งซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าหาอะไรอยู่

ขอฝากเป็นข้อคิดแนวทางเลือกเครื่องเสียง เพื่อการฟังอย่างมีความสุข พอดี พอเพียง พอใจครับ..

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทรนด์ทีวีดิจิตอล ? กำลังมา


ถ้าพูดถึง "ทีวีดิจิตอล" หรือทีวีดิจิทัล (Digital TV) หลายคนอาจเคยผ่านตากับกระแสที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมกันอยู่ในช่วงนี้ ว่าวงการทีวีไทยในบ้านเราจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งคำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเจ้าทีวีดิจิตอล คืออะไร?? แล้วทีวีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันเรียกว่าอะไร?? ทำไมจึงต้องเปลี่ยน
มองแบบง่ายๆก็เหมือนเมื่อครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจากทีวีขาวดำ --->มาเป็นทีวีสีนั่นเอง เพียงแต่ในยุคนั้นการใช้ทีวีในแต่ละครัวเรือนยังมีจำนวนไม่มากนัก การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะคนที่ซื้อทีวีเครื่องใหม่ ก็จะเลือกซื้อแต่เครื่องทีวีสี จนกระทั่งทีวีขาวดำค่อยๆหายออกไปจากท้องตลาดในที่สุด
สำหรับระบบทีวีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าทีวีอนาล็อก (Analog) เป็นการนำเอาสัญญาณภาพมาผสมกับสัญญาณวิทยุ โดยใช้สถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินเป็นตัวส่งสัญญาณ ซึ่งตามบ้านก็จะใช้เสาอากาศรับสัญญาณที่เรียกกันว่า "เสาก้างปลา" หรือ "เสาหนวดกุ้ง" นั่นเอง ซึ่งข้อเสียของสัญญาอนาล๊อกคือถูกสัญญาณรบกวนได้ง่าย อาจทำให้รับภาพเสียงไม่ชัด
ทีวีดิจิตอล (Digital TV) คือทีวีที่รองรับการออกอากาศในรูปแบบดิจิตอล ให้สัญญาณภาพและเสียง ที่มีคุณภาพดีกว่าแบบอนาล็อก และใช้คลื่นความถี่ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยดิจิตอลทีวี จะใช้สัญญาณดิจิตอลที่ถูกบีบอัดและเข้ารหัสที่มีค่าเป็น "0" กับ "1" เท่านั้น ซึ่งในหนึ่งช่วงคลื่นความถี่จะสามารถนำมาส่งได้หลายรายการโทรทัศน์ พร้อมสัญญาณภาพและเสียงที่มีความละเอียดคมชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ในต่างประเทศทั้งในยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้สัญญาณโทรทัศน์แบบทีวีดิจิตอลแล้วมากกว่า 38 ประเทศ
ข้อดีของทีวีดิจิตอล นอกจากคุณภาพของสัญญาณภาพและเสียง ที่คมชัดขึ้นเนื่องจากสามารถส่งสัญญาณ FULL HD TV ได้เสถียรและไกลมากขึ้นแล้วนั้น ยังมาพร้อมกับช่องฟรีทีวีที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็น 48 ช่อง แบ่งเป็น 24 ช่องบริการในกลุ่มธุรกิจ, 12 ช่องบริการสาธารณะ และ 12 ช่องกิจการบริการชุมชน ซึ่งเพิ่มการแข่งขันในวงการโทรทัศน์ได้มากเลยทีเดียว ซึ่งต้องมารอลุ้นกันว่ารายละเอียดช่องหลังจากการประมูลนั้นจะเป็นอย่างไร
ฟังแบบนี้แล้วหลายคนอาจมีคำถามว่า แล้วจะต้องซื้อทีวีเครื่องใหม่ที่เป็นทีวีดิจิตอลหรือเปล่า?? คำตอบคือ..นั่นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทีวีเครื่องใหม่อยู่พอดี การเลือกซื้อทีวีดิจิตอลก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้ แต่สำหรับผู้ที่มีทีวีเดิมอยู่แล้ว บางคนบอกว่าเพิ่งจะถอยมาใหม่ไม่กี่เดือนนี้เอง หรือยังไม่พร้อมที่จะทุ่มทุนเปลี่ยนทีวีทั้งเครื่องแบบนั้น ก็ยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่เรียกว่า กล่องรับสัญญาณ "Set Top Box" ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้จะทำหน้าที่ถอดรหัสสัญญาณดิจิตอล แล้วส่งภาพและเสียงให้อยู่ในรูปแบบที่ทีวีอนาล็อกเครื่องเดิมรับได้ โดยผ่านสาย HDMI, AV, หรือ RG6 เพียงเท่านี้ก็สามารถรับชมทีวีในระบบดิจิตอลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นกันได้แล้ว

ส่วนท่านที่กำลังจะซื้อทีวีเครื่องใหม่เร็วๆนี้ รออีกสักนิดซื้อทีวีที่มีสัญลักษณ์ "DVB-T2" ซึ่งรับสัญญานดิจิตอลได้เลยน่าจะคุ้มกว่าครับ..

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เจาะลึก !!! พาไปรู้จักกับ Smart TV , Internet TV มันคืออะไร ? ทำอะไรได้บ้าง ? มาดูกัน


Smart TV / Internet TV โดยทั่วไปคือทีวีที่ "ฉลาด" มากขึ้นนั่นเอง ด้วยความสามารถของตัวเครื่อง ( Spec ) ที่สูงมากขึ้น สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่น ( โปรแกรม ) ได้หลากหลาย สามารถเชื่อมต่อเข้าใช้งานในโลกออนไลน์ Internet อย่างการใช้ Web Browser , Social Network และอื่นๆ ตามฟังก์ชั่นของ Smart TV / Internet TV แต่ละรุ่น

ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีของ TV นั้นพัฒนาไปไกลมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ LCD TV , LED TV , PLASMA TV เชื่อว่าหลายๆท่านคงได้พบเห็นตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้ากันเยอะแล้ว และในปัจจุบันนี้ทีวีจะไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือที่เอาไว้รับชมรายการโทรทัศน์หรือดูหนังเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังก้าวเข้าสู่โลกของการเชื่อมต่ออย่าง " Internet " การใช้แอพพลิเคชั่นที่หลากหลายช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ความสามารถในการเล่นเกมส์ การจองตั๋วภาพยนต์ และอื่นๆอีกมากมาย ทุกอย่างรวบรวมไว้แค่ปลายนิ้วสัมผัส

-------------------------------------------------------------------------------------

Smart TV คืออะไร ??

ก่อนจะพูดถึงคำว่า " Smart TV " ผมขอยกตัวอย่างไปถึงคำว่า Smart ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด เพื่อให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ " Smart Phone " ที่ทุกท่านรู้จักกันดีนั่นเอง เริ่มจากเมื่อก่อนนี้ โทรศัพท์มือถือก็มีความสามารใช้รับสายโทรเข้าเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันก็มีโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น ทั้งกล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นเพลงต่างๆ เชื่อมต่อกับ Internet ดูคลิปวีดีโอ ลงแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมอย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น iOS ของ Apple หรือ Android จาก Google นั่นคือที่มาของคำว่า " Smart Phone "


กลับมาถึงทางด้าน " Smart TV " ก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อก่อนทีวีที่ใช้กันตามบ้านก็มีการใช้งานเพียง ดูละคร ดูหนัง ดูข่าว เท่านั้น ยังไม่มีฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้หลากหลายต้องพึ่งแหล่งข้อมูลจากภายนอกเพียงอย่างเดียวในการแสดงผลเช่น เครื่องเล่น DVD เครื่องเกมส์ Console ต่างๆ แต่ในปัจจุบันกล่าวได้ว่าเป็นทีวีที่ "ฉลาด" มากขึ้นนั่นเอง ความสามารถของตัวเครื่องสูงมากขึ้น สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นได้หลากหลาย โดยส่วนใหญ่แล้วความสามารถทั้งหมดจะใช้งานได้ด้วยการท่องไปในโลกออนไลน์ แต่ก็ไม่ได้จำกัดแค่การเชื่อมต่อ Internet เพียงอย่างเดียว ยังรวมไปถึงการใช้งานอื่นๆเช่นการเล่นเกมส์ ( โดยไม่ต้องเชื่อมต่อ Internet ) การลงแอพพลิเคชั่นต่างๆ มาใช้งาน ซึ่งในแต่ละแบรนด์จะมีความสามารถในการใช้งานและชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป




-------------------------------------------------------------------------------------

Smart TV , Internet TV นั้น ย่อมต้องการ Internet เข้ามาเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานอัพเดทข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ การใช้งานเว็บบราวเซอร์ หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาใช้งานในตัวเครื่อง ซึ่งทีวีแต่ละรุ่นก็มีการเชื่อมต่อไม่เหมือนกัน มาดูกันครับว่าสามารถเชื่อมต่อได้อย่างไรบ้าง

ประเภทของการเชื่อมต่อ Internet ของ Smart TV , Internet TV แบ่งได้ 3 ประเภทก็คือ

1. เชื่อมต่อผ่านสาย LAN ( Wired - ใช้สาย )
2. เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi Adapter USB ( Wireless - ไร้สาย )
3. เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi Built-in ในตัวเครื่อง ส่วนมากจะมีในเฉพาะรุ่นสูงๆเท่านั้น ( Wireless - ไร้สาย )

ซึ่งหลังจากเชื่อมต่อผ่าน WiFi ในวงเดียวกันแล้วบางรุ่นจะมีความสามารถในการแชร์ไฟล์จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆเช่นเพลง วีดีโอต่างๆ เพื่อมาแสดงผลทางหน้าจอทีวีได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Notebook , กล้องถ่ายรูป Digital , โทรศัพท์ Smart Phone รุ่นต่างๆ

Application on Smart TV :

สำหรับทีวีบางรุ่นนั้นจะมีความสามารถในการติดตั้งใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆได้ เช่น Samsung / LG / Philips ในจุดนี้เองท่านที่เคยใช้งาน Smart Phone ทั้ง Android หรือ iOS จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะว่าใช้หลักการเดียวกัน คือเมื่อเราต้องการใช้งานตัวไหนก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจาก Server กลางของแต่ละค่ายได้ทันที และที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ แอพพลิเคชั่นบางชนิดเมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว การใช้งานในครั้งต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อ Internet อีก เช่น เกมส์ต่างๆ แต่สำหรับรุ่นที่ไม่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ ก็สามารถอัพเดทผ่านทางเฟิร์มแวร์ของตัวเครื่องได้เช่นกัน ( วิธีการอัพเฟิร์มแวร์ก็ง่ายมาก เพียงแค่เชื่อมต่อ Internet ไว้และไปที่เมนูอัพเดท ซอฟแวร์ ในการตั้งค่าทีวี ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ) ส่วนประเภทของแอพพลิเคชั่นต่างๆผมขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ

1. Local Content : คือแอพพลิเคชั่นต่างๆที่เป็นของคนไทย ภาษาไทย ใช้งานได้อย่างสะดวกเช่น MTHAI , Major Cineplex , SF Cinema , Traffy , Nation Channel

2. Global Content : คือแอพพลิเคชั่นที่เป็นสากลใช้กันทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Youtube , Facebook , Skype

ท่องเว็บไซต์ต่างๆไปพร้อมกับ Web Browser :

อีกหนึ่งความสามารถของ Smart TV , Internet TV นั่นก็คือ การเข้าเว็บไซต์ต่างๆได้อย่างอิสระ เสมือนว่าเราเปิดจากคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว โดยจะไม่ต้องเสียเวลาเชื่อมต่อให้วุ่นวาย แต่ว่าข้อจำกัดอย่างการพิมพ์ภาษาไทย ต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมอื่นเข้ามาเป็นตัวช่วย ซึ่งผมจะอธิบายในส่วนต่อไปครับ และการแสดงผลอย่าง Flash หรือ Java Script ก็ทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ( ยกเว้นบางรุ่นเท่านั้น ซึ่งในอนาคตอาจจะมีเฟิร์มแวร์ออกมาช่วยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น )

การควบคุม Smart TV , Internet TV ในรูปแบบต่างๆ

มาต่อกันที่ส่วนของการควบคุมกันครับ หลายๆท่านอาจจะยังสงสัยว่า " เอ๊ะ ! ฟังก์ชั่นของทีวีนั้นมีเยอะมาก แต่ปุ่มในรีโมทมันเป็นแค่ตัวเลข และปุ่มทิศทางเท่านั้น เวลาพิมพ์จะสะดวกหรือเปล่า " จริงๆแล้วการควมคุมให้ง่ายขึ้นก็เป็นเรื่องที่ทางแต่ละยี่ห้อต้องพยายามปรับตัวเข้าหาผู้บริโภคอย่างเราๆกันให้มากที่สุด เพื่อให้มีความสะดวกสบายในการใช้งาน เพราะความยากง่ายในการควบคุมทีวีก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยตัดสินใจเลือกซื้อ Smart TV เช่นกัน


1. ควบคุมจากรีโมททีวี : โดยปกติแล้วทุกยี่ห้อจะคล้ายๆกันทั้งหมด อาจจะแตกต่างกันในด้านการวางตำแหน่งและดีไซน์ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ปุ่มควบคุมทิศทาง จะใช้ในการเลื่อนตำแหน่งไปยังส่วนที่ต้องการ และปุ่ม OK เพื่อใช้เลือก วิธีการพิมพ์ก็จะทำได้แค่ "ภาษาอังกฤษ" เท่านั้น โดยใช้ปุ่มตัวเลขเป็นแป้นคีย์บอร์ด ( เช่นเลข 2 บนรีโมทจะมี A B C ถ้าต้องการพิมพ์ C ให้กดเลข 2 จำนวน 3 ครั้ง )

ตัวอย่างรุ่น LW6500

2. ควบคุมจากอุปกรณ์เสริมของแต่ละค่าย : ในจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์ต่างๆ ที่จะมีลูกเล่นอะไรมาดึงดูดลูกค้า ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน มาดูอย่างแรกกันครับจาก Samsung ช่วยทำ Qwerty คีย์บอร์ดมา เวลาใช้งานด้านการพิมพ์ค้นหาต่างๆก็ทำได้อย่างสะดวก

ถัดมาก็คือตัว Magic Motion Remote จากทาง LG ที่ใช้รีโมทเป็นตัวชี้ไปยังหน้าจอทีวี และใช้ปุ่มเพียงปุ่มเดียวควบคุมได้ทุกอย่าง ง่ายต่อการใช้งานอีกเหมือนกัน ( คล้ายๆกับการใช้งานของ Nintendo Wii )

3. ควบคุมจาก Application บน Smart Phone : สำหรับวิธีนี้ต้องการ Smart Phone รุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Android หรือว่า iOS ก็สามารถเข้าไปค้นหา แอพพลิเคชั่น รีโมท จากทาง Android Market หรือ App Store ได้ฟรี ข้อดีคือจะทำให้สามารถพิมพ์ " ภาษาไทย " ได้ และมีความคล่องตัวในการใช้งานมาก โดยการเชื่อมต่อนั้นจะต้องเชื่อมต่อผ่านวง LAN เดียวกันกับตัวทีวีด้วยครับ


ในส่วนของ Application ที่สำคัญๆดังนี้ครับ
แอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจ ห้ามพลาด !! ถ้าคุณใช้ Smart TV, Internet TV

แอพพลิเคชั่นสำหรับ Smart TV , Internet TV มีให้เลือกใช้มากมาย ทีวีบางยี่ห้อนั้นมีให้เลือกกว่า 1,000 แอพเลยทีเดียว แต่สำหรับอันที่เป็นที่นิยมผมก็ขอรวบรวมมาแนะนำให้เลือกใช้กันครับ


1. Facebook : อย่างแรกเลยที่ขาดไม่ได้สำหรับยุคนี้ก็คือ Social Network ยอดฮิตอย่าง Facebook นั่นเอง ถือว่าเป็นแอพพลิเคชั่น "ยอดนิยม" สำหรับทุกเพศทุกวัย โดยประมาณ 90% ของ Smart TV จะมีติดมาให้อยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถเข้าไปเช็ค New Feeds หรือทำการ Update สถานะได้ทันที รวมไปถึงการคอมเม้นท์ในวอล์ต่างๆ และในบางรุ่นจะสามารถดูทีวีไปพร้อมๆกับเล่น Facebook ได้อีกด้วย แอพพลิเคชั่นจะขึ้นมาอยู่ด้านข้างของจอภาพ ใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว


2. Youtube : สำหรับ Youtube นั้น น้อยคนที่จะไม่รู้จัก เพราะเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ "ขาดไม่ได้" สำหรับ Smart TV ในปัจจุบัน ซึ่งสามารถเข้าไปรับชมคลิปวีดีโอต่างๆได้จากทั่วโลก สามารถค้นหาคลิปวีดีโอที่ต้องการได้ด้วยการใช้เมนูคีย์บอร์ดในตัวเครื่อง พิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงไป ก็จะได้รายชื่อคลิปวีดีโอที่ต้องการมารับชม


การใช้งาน Youtube Application

3. Accu Weather : เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการพยากรณ์อากาศ โดยที่เราสามารถระบุตำแหน่งของสถานที่ ที่เราต้องการทราบสภาพอากาศได้ โดยส่วนใหญ่จะมีมาให้ในตัวเครื่อง


4. Skype : อีกหนึ่ง Application ที่มีประโยชน์มากในการสนทนาทั้งภาพและเสียงไปพร้อมๆกัน นั่นก็คือ Skype ครับ ซึ่งต้องอาศัยตัวกล้องที่เชื่อมต่อผ่านช่องต่อ USB มาใช้ควบคู่กันไป จะแตกต่างจากที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ก็คือ ในตัวกล้องจะมีไมโครโฟนรับเสียงอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องไปต่อเพิ่มแล้ว แถมได้ภาพใหญ่จุใจ เห็นกันชัดๆข้ามโลก อีกด้วย
จอเล็กๆคือไว้ดูตัวเราเอง ส่วนจอใหญ่ก็คือคู่สนทนาของเรา ตัวกล้องจะอยู่ด้านบนทีวี


5. SF Cinema : เป็นหนึ่งใน Local Content ที่สามารถดูรายละเอียดของหนัง และเช็คเวลาฉายของหนังได้ ถือเป็น Content โดยคนไทย เพื่อคนไทยจริงๆ

6. Game : โดยส่วนมากแล้วเกมส์ที่มาให้เล่นกับทีวีนั้นจะเป็นเกมส์แนว "สดใส คลายเครียด ใช้สมองนิดๆ" ครับ ถือว่าใช้เล่นแก้เบื่อได้ดีทีเดียว โดยจะไม่เหมือนกันในแต่ละยี่ห้อ ยกตัวอย่างมาให้ดูเป็นบางเกมส์นะครับ จริงๆมีเยอะกว่านี้อีกมาก

ที่แนะนำไปก็เป็นเพียงแค่ "บางส่วน" ของ Smart TV เท่านั้นเองครับ ยังมีอีกหลายแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจ น่าใช้ แต่ว่าในการเลือกซื้อ Smart TV มาใช้ ควรจะศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนว่าตรงตามความต้องการของเราหรือไม่ เพราะในแต่ละยี่ห้อก็มีสิ่งที่ "ทำได้" และ "ทำไม่ได้" จะฟันธงว่า Smart TV , Internet TV เครื่องไหนดีที่สุดนั้น ค่อนข้างลำบาก ผมบอกได้ว่า "ดีหมด" แต่ ดีคนละอย่าง เช่น บางยี่ห้อสามารถลงแอพเพิ่มได้ แต่อีกยี่ห้อหนึ่งสามารถดูทีวีไปพร้อมๆกับเล่น Facebook อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม Smart TV , Internet TV ก็ถือเป็นอีกก้าวของเทคโนโลยีที่ยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แน่นอนครับ

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

Full HD คืออะไร?



Full HD ย่อมาจากคำว่า Full High Definition ซึ่งก็คือเครื่องรับโทรทัศน์ ที่พร้อมด้วยเทคโนโลยีการแสดงผลที่ปรับปรุงคุณภาพของภาพวิดีโออย่างมากมายในการรับชมรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ ดีวีดี ที่ท่านชื่นชอบ ทุกสิ่งจะได้รับการนำเสนอในเนื้อหาที่ละเอียดกว่า ด้วยจำนวนพิกเซลมากกว่า สองล้าน พิกเซล Full HD จะบรรจุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้มากถึง 4 เท่า ของสิ่งที่ท่านเคยเห็นในการรับชมจากโทรทัศน์ความคมชัดระดับมาตรฐาน (SD)ที่ผ่านมาเป็น 2 เท่าของความคมชัดในระบบ HD ธรรมดา , Full HD จะมีความเหนือกว่า HD ในคุณภาพของภาพ; รายละเอียดที่มีความคมชัดกว่า ,สีสันที่เจิดจ้ากว่า , และ ภาพที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์หรือเกมส์ โทรทัศน์ Full HD จะสร้างประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุดให้กับท่าน

ความละเอียด HD คืออะไร?

ความละเอียดของภาพ(Resolution)หมายถึงจำนวนพิกเซลที่แสดงออกมา เพื่อที่จะให้เห็นรายละเอียดของ Full HD TV ลองจินตนาการว่าหน้าจอทีวีประกอบด้วยจุดสีเล็ก ๆ หรือพิกเซล ยิ่งมีพิกเซลมากเท่าใด คุณภาพของภาพก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น พิกเซลเหล่านี้จะวางเรียงกันตามแนวนอนเป็นเส้นวิ่งไปตามความยาวของหน้าจอ ทีวี รายละเอียดของภาพจะได้รับการกำหนดโดยการนับจำนวนเส้นของพิกเซลที่วิ่งผ่านหน้าจอนี้ ในกรณีนี้จะเป็น 1080 เส้นทางแนวนอนของ 1920 พิกเซล

ในหลาย ๆ โอกาส ท่านอาจจะเคยเห็นว่ามีการระบุว่าความละเอียดของ HD จะเป็น 1080p หรือ 1080i สำหรับ Full HD แล้วโดยทั่วไปจะเรียกเป็น 1080p.

ด้วย interlaced scanหน้าจอจะถูกแบ่งไปเป็นเส้นคู่เส้นคี่ ที่ทุกเศษส่วนของวินาที รายละเอียดจะแสดงบนเส้นคี่และตามด้วยเส้นคู่ขบวนการนี้จะเกิดซ้ำๆ สร้างเป็นรูปภาพสมบูรณ์ขึ้นมา แต่ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวระหว่างเส้นนี้จะเร็วเกินกว่าสายตามนุษย์ แต่ผู้ชมก็ยังมีความรู้สึกถึงการ"กระพริบ"ได้

ด้วย progressive scan รูปภาพจะถูกแสดงทีละเส้นจากบนลงล่างในสายตาของเรา จะเห็นเป็นภาพที่ธรรมชาติและลดการกระพริบที่เกิดขึ้นในการแสกนแบบ interlaced การสแกนแบบ Progressive จะให้รายละเอียดของภาพมากเป็นสองเท่า ซึ่งจะดูมีความคมชัดและเจิดจ้ากว่าเมื่อเทียบกับการสแกนแบบ interlaced





เครื่องหมายโลโก้ HD หมายความว่าอย่างไร?


การเป็น HD Ready หมายถึงความสามารถของการรับของเครื่องรับโทรทัศน์ ที่จะแสดงภาพความคมชัดสูงได้ การจะเป็น HD Ready โทรทัศน์ของท่านจะต้องสามารถรับและแสดงสัญญาณ HD ที่ 720p, 1080i, หรือ 1080p ด้วยความช่วยเหลือของอินพุทวิดีโอคอมโพเนนท์หรือดิจิตอล .

เมื่อท่านเห็นโลโก้ของ Full HD 1080 หมายความว่าโทรทัศน์ HD ของท่านสามารถที่จะแสดงความละเอียด Full HD ของ 1920x 1080 และจอแสดงของท่านสามารถที่จะรับเนื้อหา Full HD โดยไม่ต้องใช้กล่องจูนเนอร์

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ขอเชิญท่านเข้าสู่ระบบจอภาพแบบ LED TV 3D Full HD


วันนี้ผมนำเรื่อง TV แบบ 3D มาฝากกันครับ กับความนิยมในเทคโนโลยีจอทีวีที่ล้ำยุคไปอีกขั้น

สู่มิติใหม่ของโลกทีวีที่จะทำให้ผู้ชมได้สัมผัสความบันเทิงเหนือจินตนาการไปกับ Samsung LED TV รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับคุณสมบัติการรับชมภาพ 3D ที่สมจริง ด้วยความละเอียดระดับFull HD

สมบูรณ์แบบล้ำหน้ากว่าผู้ผลิตรายอื่นตื่นตาตื่นใจไปกับประสบการณ์ความบันเทิงทะลุจอทั้งคอนเท็นต์ที่เป็นภาพยนต์การแข่งขันกีฬา และเกมส์ต่างๆ ถึงเวลาแล้วที่เราจะก้าวไปสู่โลก 3มิติที่สมจริงยิ่งกว่าไปกับ Samsung 3D LED TVและชุดโฮมเธียเตอร์ที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของผู้บริโภคเจ้าแรกของโลกภายใต้ดีไซน์ที่ปราณีตทุกรายละเอียดบางเฉียบคมชัดทุกมุมมอง
เทคโนโลยี 3D เต็มรูปแบบครั้งแรกของโลก
ซัมซุงได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเทคโนโลยี 3Dที่ให้ความบันเทิงเต็มรูปแบบอย่างแท้จริงตั้งแต่เรื่องของจอภาพที่มีให้เลือกทั้ง LED TV, LCD TV หรือ Plasma TVอีกทั้งเครื่องเล่น 3D Blu-ray Disc ตลอดจนชุด 3D Home Theaterและที่ขาดไม่ได้ก็คือ 3D Content กับ 3D Active Glasses (แว่นตา 3 มิติ)เรียกได้ว่าตอบโจทย์ครบถ้วนตั้งแต่เรื่องของเทคโนโลยีไปจนถึงคอนเท็นต์ที่จะทำให้ผู้ชมได้สัมผัสโลกสามมิติเต็มรูปแบบครั้งแรกของโลกได้เวลาที่เราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยี 3Dของผู้นำโซลูชั่นสามมิติกันแล้ว



ล้ำหน้าด้วยภาพเคลื่อนไหว 3D ที่คมชัด-นุ่มนวล-สมจริง
พื้นฐานของเทคโนโลยี 3 มิติก็คือการทำให้ผู้ชมได้มองเห็นภาพที่มาจากมุมมองของตาซ้ายและตาขวาที่ไม่เหมือนกันพร้อมกันซึ่งจากหลักการดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนาภาพสามมิติด้วยเทคนิคต่างๆแต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็คือการซ้อนภาพที่เกิดจากมุมมองทั้งสองที่หากมองภาพ 3Dด้วยตาเปล่าก็จะเห็นเป็นภาพเหลื่อมซ้อนกัน แต่เมื่อมองผ่านแว่นตาสามมิติภาพทั้งสองจะถูกแยกให้ไปปรากฎบนตาทั้งสองข้างคนละภาพพร้อมกันซึ่งเป็นการเลียนแบบลักษณะการมองเห็นสิ่งต่างๆบนโลกความเป็นจริงด้วยสายตาของมนุษย์นั่นเอง

เทคโนโลยีการสร้างภาพ 3D บนทีวีทั่วไปวันนี้จะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Polarizationซึ่งยังคงใช้พื้นฐานการซ้อนภาพจากมุมมองตาซ้าย และตาขวาเหมือนกันโดยจะใช้วิธีแบ่งช่องการมองเห็นของภาพทั้งสองสลับกันไปมา (ช่องที่ 1ส่วนภาพของตาซ้าย ช่องที่ 2 ตาขวา ช่องที่ 3 ตาซ้าย ไปเรื่อยๆจนครบทั้งสองภาพในเฟรมเดียว)ในขณะที่แว่นตาแต่ละข้างก็จะมีช่องการมองเห็นที่แตกต่างกันซึ่งทำให้สายตาแต่ละข้างมองเห็นภาพจากมุมมองที่ไม่เหมือนกันนั่นเองอย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของเทคนิคนี้ก็คือการแบ่งช่องการมองเห็นของภาพทีมีการนำมาซ้อนกันทำให้ภาพที่ได้ไม่สมบูรณ์คมชัดอย่างที่ควรจะเป็น(ภาพที่มองเห็นจากแว่นตาแต่ละข้างจะถูกลดทอนด้วยช่องมองที่แบ่งสลับกัน)

ความลับเทคโนโลยี 3D ของ Samsung

Samsungได้เล็งเห็นถึงปัญหาความไม่สมบูรณ์ของภาพที่มองเห็นด้วยเทคนิคการสร้างภาพ3D ด้วยวิธีข้างต้น จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี 3Dใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้ผู้ชมสามารถมองเห็นภาพที่สมบูรณ์ (Full Frame)และมีความคมชัดในระดับ Full HD 1080P ได้ทั้งสองตา โดยอาศัยการแสดงภาพเต็ม(ไม่มีการแบ่งเป็นช่องการมองเห็นเหมือน Polarization)ของมุมมองทั้งจากตาซ้ายและขวาที่รวดเร็วซิงค์กับแว่นตา 3D Active Glassesที่ทำหน้าที่เป็นชัตเตอร์เปิดปิดภาพอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้สายตาของผู้ชมได้มองเห็นภาพทั้งสองพร้อมกันจากตาคนละข้างและด้วยความที่ Samsung เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีชิปประมวลผลและควบคุมการทำงานของจอภาพเองอีกด้วย จึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี ClearMotion Rate ที่ทำให้ระบบสามารถเล่นเฟรมของภาพที่ความเร็วสูงสุด 960เฟรมต่อวินาที เมื่อสอดรับกับเทคโนโลยี Blacklight ทำให้ภาพเคลื่อนไหว 3Dบนทีวีมีความคมชัด นุ่มนวล และสมจริงมากยิ่งขึ้นได้รับทราบรายละเอียดอย่างนี้ ก็คงจะเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไม 3D TV ของSamsung จึงให้คุณได้ชมภาพสามมิติที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับรายละเอียดของกลไกที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลยครับ

3D HyperReal ภาพสามมิติคมชัดจนรู้สึกสัมผัสได้
จากHyperReal Engine ที่ให้รายละเอียดของภาพระดับ Full HD (1920 x 1080)คมชัดสมจริงผสานเทคโนโลยี ด้านจอภาพที่ให้ภาพล้ำลึกลื่นไหลต่อเนื่องจนทำให้สิ่งที่ผู้ชมได้เห็นบนหน้าจอมีมิติราวกับสัมผัสได้จริง ซึ่งถือเป็นเอกสิทธิ์ของเทคโนโลยีบน Samsung 3D LEDTV ที่ล้ำหน้ากว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ ในปัจจุบัน

Less Layered Image ไม่มีภาพเหลื่อมขณะชม
และด้วยเทคโนโลยี Superior 3D ของ Samsung 3D LED TVสามารถลดภาพเหลื่อมทีมีลักษณะเหมือนเงาลางๆขณะชมภาพสามมิติอย่างที่เคยพบเห็นในทีวีสามมิติทั่วไปต้องยกความดีความชอบให้กับหน่วยประมวลผลภาพที่รวดเร็วที่สามารถเพิ่มเฟรมต่อเนื่องเข้าไปจนทำให้ผู้ชมได้เห็นภาพ 3D ที่คมชัดไหลลื่นและไม่มีภาพเหลื่อมกวนสายตาอีกต่อไป

Decrease Flicker ลดการกระพริบของภาพ
ปกติการกระพริบของภาพมักจะเกิดขึ้นขณะทีมีการเล่นภาพที่มีความเร็วในการเปลี่ยนภาพต่ำ เช่นภาพสโลวโมชั่น แต่ด้วยเทคนิคของการแสดงผลที่คิดค้นโดย Samsungจะสามารถลดการกระพริบของภาพ เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวได้อย่างไหลลื่นซึ่งรวมถึงการรับชมภาพยนต์จากเครื่องเล่น 3D Blu-ray ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวจึงถือว่าเป็นความเอาใจใส่ในรายละเอียดเพื่อให้ผู้ชมได้รับอรรถรสการรับชม 3D LED TV ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

Reduced Judder หมดปัญหาภาพสั่นเบลอ
ปัญหาหนึ่งที่พบในทีวีสามมิติทั่วไปก็คือเมือต้องมีการแสดงภาพเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างเช่น ภาพกีฬาหรือภาพยนต์แอคชั่นต่างๆ จะสังเกตเห็นอาการภาพกระตุก สั่นไหว หรือเบลอซึ่งทำให้เสียอรรถรสในการรับชมอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ทาง Samsungจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยกำจัดปัญหาดังกล่าวออกไปด้วยการเพิ่มเฟรมเข้าไปในภาพที่เคลื่อนไหวเร็วผลลัพธ์ที่ได้คือผู้ชมจะได้เพลิดเพลินกับภาพที่คมชัดสูงสุด ไม่มีสะดุด หรือภาพเบลอๆให้เห็นอีกต่อไป

นอกจากเทคโนโลยีหลักๆ ข้างต้นแล้ว จอทีวีของ Samsung ยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่ทำให้คุณได้รับชมภาพที่สุดยอดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Wide Color EnhancerPlusที่ให้เฉดสีครอบคลุมมากขึ้นทำให้ได้รายละเอียดของภาพใกล้เคียงธรรมชาติPrecision Dimming เทคโนโลยีที่เพิ่มความคมชัดด้วยการแสดงสีดำที่ดำสนิทและสีขาวที่บริสุทธ์ และ Mega Dynamic Contrast ระบบควบคุมและปรับความเข้มแสงทีให้มิติสมจริง ซึ่งเมื่อรวมทุกเทคโนโลยีเข้าไปในจอSamsung 3D LED TVทำให้ผู้ชมรู้สึกประทับใจกับประสบการณ์ภาพสามมิติกว่าที่เคยได้เห็นจาก 3DTV ทั่วไป

2D-to-3D Conversion เพิ่มมิติให้กับการรับชม

นอกจากคุณผู้ชมจะสามารถรับชมภาพยนต์ 3D จาก Blu-Ray Disc ได้แล้วคุณยังสามารถได้รับประสบการณ์ 3D จากโปรแกรมรายการต่างๆบนทีวีตามปกติได้อีกด้วย เนื่องจาก Samsung ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่าReal D 3D ที่สามารถแปลงภาพที่ปรากฎบนจอ โดยไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์หรือรายการจากฟรีทีวีช่องใดก็ตาม ตลอดจนคลิปวิดีโอบน YouTubeในกรณีที่คุณเลือกใช้ Samsung 3D LED TV รุ่นที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีInternet@TV ซึ่งแต่เดิมเป็นภาพ 2D ให้กลายเป็นภาพ 3D ได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสโดยระบบจะใช้ภาพเดียวที่ปรากฎบนหน้าจอเพื่อจำลองภาพการมองเห็นเป็นสามมิติด้วยแว่นตา 3D Active Glasses ผู้ชมยังสามารถปรับระดับความลึกตื้นหรือมิติของภาพที่แสดงบนหน้าจอได้อีกด้วย เพียงแค่นี้คุณก็สามารถสัมผัสประสบการณ์สามมิติได้ทันทีที่ต้องการแล้ว

3D Active Glasses แว่นตาสามมิติดีไซน์ล้ำ
เทคโนโลยีจอภาพเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถทำให้คุณผู้ชมได้สัมผัสกับประสบการณ์ 3Dทีสมบูรณ์แบบได้ หากไม่มี 3D Active Glasses แว่นตาสามมิติทีมาพร้อมกับSamsung 3D LED TV ด้วยดีไซน์ทันสมัย บางเบา (34 กรัม) สวมใส่สบายแต่ด้วยเทคโนโลยีที่อยู่ภายในทำให้ผู้ชมสามารถมองเห็นภาพ 3Dไฮเดฟได้อย่างนุ่มนวลทะลุจอสมจริงโดยแบตเตอรี่ที่ชาร์จสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 50ชม.กรอบด้านบนของแว่นภายในติดตั้งเครื่องรับส่งสัญญาณอินฟราเรดที่ทำหน้าที่ซิงค์สัญญาณภาพกับ Samsung 3D LED TV ช่วยเพิ่มความสะดวกในการพกพาเนื่องจากไม่ต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติมแต่อย่างใดการใช้งานก็แค่กดปุ่มเปิดที่อยู่บนกรอบแว่นตา เพียงแค่นี้คุณก็ได้รับชมประสบการณ์ 3D ที่สมบูรณ์แบบแล้ว
สำหรับประเด็นความกังวลที่ว่า ชมภาพยนต์ 3D แล้วจะทำให้รู้สึกปวดตา หรือมีผลกระทบข้างเคียงหรือไม่ คำตอบก็คือ ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันปัญหาดังกล่าวได้ถูกกำจัดไปหมดแล้วผู้ชมไม่ต้องคอยปรับสายตาเพื่อให้เห็นภาพเป็น 3D เหมือนในอดีตหน้าที่ดังกล่าวปล่อยให้ทีวี และแว่นตาจัดการให้แทน เรียกได้ว่าคุณสามารถชมภาพพยนต์ 3D ได้อย่างลื่นไหลสบายตาด้วยภาพที่

ดีไซน์จอภาพบางเฉียบแค่ 7.9มม.เท่านั้น
สำหรับผู้ที่เลือก Samsung 3D LED TVนอกจากจะได้สัมผัสกับสุดยอดความบันเทิงจากประสบการณ์ 3D ที่สมจริงแล้วดีไซน์ของจอภาพยังจะทำให้มันเหมือนเป็นงานศิลปะชิ้นหรูในห้องพักผ่อนของคุณอีกด้วย โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี LEDทีให้ความคมชัดของภาพสูงสุดประกอบความสามารถในการออกแบบให้จอภาพที่ได้มีความบางเฉียบแค่ 7.9 มม.เท่านั้น (UA55C9000) เรียกได้ว่า Samsung 3D LEDTV เป็นสุดยอดของนวตกรรมที่มีทั้งความงดงามของเทคโนโลยีที่อยู่ภายในและดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น จนไม่น่าแปลกใจเลยที่มันได้รับรางวัลINNOVATIONS 2010 ในงาน International CES เมื่อต้นปีที่ผ่านมา


Samsung 3D Total Solution

และเพื่อความสมบูรณ์แบบของความบันเทิงที่ครบครัน ในชุด Samsung 3D TotalSolution จะเนรมิตรห้องพักผ่อนของคุณให้กลายเป็นโรงภาพยนต์ 3D ทั้งระบบภาพและเสียง สัมผัสกับความสามารถที่เยี่ยมยอดของเครื่องเล่น Blu-Ray 3Dพร้อมกับลำโพงแบบ Open Speak Cone ที่รวมอยู่ในชุดลำโพง 7.1 แชนเนลกำลังขับ 1330W RMS ซึ่งนอกจากจะได้รับชมภาพ 3D ทะลุมิติแล้วระบบเสียงที่ให้คุณได้รู้สึกเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์จริงยังช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วยโดยชุดโฮมเธียเตอร์สามมิติสามารถใช้งานได้กับ Samsung 3D TV ทุกรุ่นและแล้วฝันที่อยากจะมีโรงหนังสามมิติในบ้านของคุณก็เป็นจริงแล้ว

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

LED TV คืออะไร ?

>
ต่อจากบทความที่แล้วเราอาจจะยังไม่ได้ขยายความว่า LED TV จริงๆ คืออะไรกันแน่ ชื่อคล้ายๆ LCD TV แต่มันแตกต่างกันครับ ผมเลยมาขยายความต่อในบทความนี้ครับ..

LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาด “จิ๋วแต่แจ๋ว” ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสีนต่างๆ


ส่วน LCD TV ที่เราๆ รู้จักกันแล้ว ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สี ทั้งสีแดง น้ำเงิน เขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด CCFL Backlight ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสันต่างๆ

สรุป
สรุปอย่างได้ใจความได้ว่า LED TV ก็คือ LCD TV ที่เปลี่ยนจากหลอด CCFL เป็นหลอด LED ในการกำเนิดแสงนั่นเอง โดยยังใช้ Liquid Crystral ผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีในการสร้างสีในแต่ละพิกเซล ดังนั้นตามหลักการแล้วมันก็คือ LED LCD TV นั่นเอง เพียงแต่สลับจากการใช้หลอด CCFL ให้เป็นหลอด LED เพื่อใช้กำเนิดแสง อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ LED เป็นเทคโนโลยีที่มีให้เห็นกันบ่อยในจอโน็ตบุ๊คที่บางๆครับ

ด้วยความที่เป็นหลอดไฟ “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยความสามารถของเจ้า LED นั้นสามารถให้ “แสงสว่างได้ดีกว่าโดยที่ใช้ไฟน้อยกว่า” ทำให้ LED เป็นแหล่งกำเนิดไฟที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหลอด CCFL ทันทีครับ และที่สำคัญด้วยขนาดหลอดที่เล็กกว่า ทำให้ LED TV มีความบางกว่า LCD TV ทั่วๆไปที่ใช้หลอด CCFL Backlight แต่อย่างไรก็ตาม LED TV นั้นก็ยังมีระดับราคาที่สูงอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “คุ้มค่าหรือเปล่า” กับการลงทุนในช่วงนี้ โดยผมบอกได้เพียงสั้นๆว่า ค่าตัวของ LED TV ค่อนข้างแพงกว่า LCD TV อยู่พอสมควร แต่ก็มี LED TV ก็มีอัตราการกินไฟน้อยกว่า LCD TV อยู่ประมาณ 40% -50% เลยทีเดียวเชียวครับ ดังนั้นเรื่องความคุ้มค่าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วหละว่าจะเลือกตัวไหนครับ

LED TV มีทั้งหมดกี่แบบ ???
อันนี้หลายๆท่านอาจะจะยังสงสัยว่า LED TV มันมีหลายแบบด้วยเหรอ คำตอบแบบฟันธงนะครับว่ามีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป เรามาดูกันเลยดีกว่า

1. EDGE LED : วางหลอด LED ไว้ตรงขอบของทีวี
EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ขอบ” ครับ โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ “ความบาง” ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้างครับ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการประหยัดไฟครับ อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆเมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง


สำหรับ EDGE LED TV ได้แก่ Samsung B6000 B7000 B8000 ครับ และรวมถึง Sony ZX1 ซึ่งเป็น EDGE LED LCD TV ที่บางที่สุดในโลกเพียง 9.9 มม.

2. Full LED : หลอด LED เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED (Direct LED) เพราะว่ามีหลอดไฟอย่าด้านหลังทั้งแผงคอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED หรือบางค่ายก็เรียก Direct LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlightด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวครับ ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถได้ ส่วนข้อเสียคือเรื่องความหนาของตัวเครื่องครับ เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปอยู่ครับ


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Samsung A950 รุ่นนี้ใช้ Full LED Backlight ครับ รวมถึง Philips รุ่น PFL9803 รุ่นที่ได้รางวัล EISA Award รุ่นนี้ก็ใช้ Full LED Backlight เช่นกัน

3. RGB LED : หลอดไฟ LED สีแดง เขียว น้ำเงิน เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
แบบสุดท้ายผมขอยกให้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันนะครับ ซึ่งก็คือ RGB LED TV นั่นเอง โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีเดียวซึ่งปกติเป็นสีขาวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก ความถูกต้องและคมชัดของสีจึงมีมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่ดีที่สุดครับ มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามาถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ครับ ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆ ก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมากในตอนนี้


ตัวอย่างทีวีที่ใช้ RGB ก็คือ Sony X450 ขนาด 46” 55” 70” และ Sharp XS1 ขนาด 65” ซึ่งค่าตัวของ Sharp RGB LED TV ก็ 699,990 บาท และ 70X450 ราคาอยู่ที่ 799,990 บาทซึ่งถอยรถ Vios และ Civic ได้อย่างละ 1 คันพอดีเลยล่ะครับ

คงได้รู้จักกับ LED TV กันพอสมควรนะครับ ทีนี้จะเลือกใช้ทีวี LED หรือไม่ก็แล้วแต่ชอบอ่ะนะครับ..

ความแตกต่างระหว่าง LCD TV, LED TV และ Plasma TV



กาลเวลาเปลี่ยนแปลงยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนวิวัฒนาการและเทคโนโลยีก็หมุนเวียน เปลี่ยนตาม จากเดิมที่เริ่มจำความได้ว่าทีวีบ้านเราๆนั้นจะเป็นจอสีเหลี่ยมจัตุรัส ที่ มีขนาดให้เลือกตั้ง 14,21,25,29นิ้วให้คุณเลือกตามกำลังและความต้องการ เวลาล่วงเลยมาได้2-3ปีให้หลังคุณอาจจะเห็นทีวีลดน้อยลงไปแทบจะไม่เห็นเลย เพราะ Plasma TV กับ LCD TV จากความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าทั้งความสามารถทั้งขนาดที่ดูแล้วควบคู่มากับราคาที่เปลี่ยนจากเดิม จึงทำให้ เข้ามาตีตลาดให้จอทีวีค่อยๆลดหายลงไป และในปัจจุบันสิ่งเปลี่ยนแปลงและค่อยๆ ก้าวเข้ามาคือ LED TV ซึ่งผมเคยกล่าวเปรียบเทียบ LCD กับ Plasma มาบ้างแล้วในบทความก่อนหน้า วันนี้ขอเพิ่ม LED TV มาแจมด้วยครับ

คงอยากรู้กันแล้วสินะครับว่าทั้ง LCD TV, LED TVและPlasma TV แตกต่างกันอย่างไร เรามาเริ่มรู้จักที่ละอย่างเลยครับ เริ่มที่ตัวของ LCD TV ก่อนเลย จากราคาที่น่าสนใจและตลาดที่แทบจะทุกค่ายผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ผลิตออกกันมาส่วนใหญ่จะเป็น LCD TV

LCD TV (Liquid Crystal Display) ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง Backlight ส่องแสงไปที่ผลึกเหลว (ลักษณะ คล้ายๆเยลลี่ ดังนั้นถ้าลองสังเกตดูว่าถ้าเอามือจิ้มลงไปที่จอจะรู้สึกว่านิ่มๆ) ที่หยอดเอาไว้ระหว่างช่องกระจกจะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทำให้โมเลกุลของลิควิดคริสตัลในส่วนของจุดภาพ พิกเซล (pixel) นั้นหมุนเป็นมุม 90 องศา เพื่อให้เกิดได้ทั้งจุดสว่าง และจุดมืด (แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง) หากเรากล่าวว่าเทคนิคของ LCD คือการบิดตัวโมเลกุล แล้วเอาเงาของมันมาใช้งานก็ถือว่าถูกต้องอย่างที่สุด LCD ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 นิ้ว ครับ


LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาดเล็กจิ๋ว อาทิเช่นหลอดไฟท้าย Minor Change ของ Honda Civic โฉมปัจจุบัน ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสันต่างๆ


PLASMA TV ภาพแบบพลาสม่าทีวี แสดงภาพโดยการใช้แสงที่เกิดจากการแตกตัว ionized ของ neon gas (นีออน)เพื่อแสดงผลของภาพออกมาที่แผงหน้าจอ ภายในจอภาพมีองค์ประกอบที่เต็มไปด้วย neon gas แต่ละพิกเซลกำเนิดแสงได้เองPlasma ทีวี จะเน้นทำแต่ ขนาดใหญ่ๆครับ 42 นิ้วขึ้นไป จนถึงขนาด 150 นิ้ว ครับ


ความแตกต่างของจอทั้ง 3 ชนิดคือ หลอดภาพที่แตกต่างกันในการแสดงผลครับ ข้อดีข้อเสียของของจอทั้ง 3ชนิด มีดังนี้ครับ


ข้อดีของ LCD TV

1. ให้สีที่สว่างสดใสเหมาะกับการแสดงสีกราฟฟิก เช่น การ์ตูน , สารคดี และละคร
2. เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขก (หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร แอลซีดี ทีวีก็จะเหมาะสมกว่า)
4. อาการ Burn-In จะมีโอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่าด้วยนะครับ


ข้อดีของ LED TV

1.ลักษณะจอมีขนาดบางกว่าจอLCD และจอPlasma
2.ความสว่างและสีสันค่อนข้างสดกว่า
3.กินไฟน้อยกว่าจอทั้ง2ชนิด


ข้อดีของ Plasma TV

1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดีกว่า เนื่องจากมี Response Time .001 ms จึงเหมาะกับการใช้รับชมภาพยนตร์ Action และการรับชมกีฬาเป็นอย่างมาก
2. อายุการใช้งาน ยาวนานกว่าที่ 100,000 ชั่วโมง (Half Brightness)
3. สามารถแสดงระดับพื้นสีดำได้ดีกว่า
4. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
5. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า แอลซีดี
6. ให้สีที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติ มากกว่า สีออกโทนอุ่น

ข้อเสียของ LCD TV

1. ไม่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดี เนื่องจากมี Response Time เร็วที่สุดในขณะนี้เพียงแค่ 2 ms เท่านั้น
2. มีความเพี้ยนของสีเกิดขึ้นโดยเฉพาะสีแดง, โทนสีผิว, สีท้องฟ้า ทะเล
3. ไม่สามารถแสดงสีดำสนิทได้เนื่องจาก Backlight เปิดตลอดเวลาในขณะที่เครื่องทำงาน ทำให้มีแสงขาวเล็ดลอดออกไปในฉากที่เป็นสีดำ จึงทำให้ฉากสีดำเป็น “ดำสว่าง” ไม่ใช่ “ดำมืด” อย่างที่ควรเป็น

ข้อเสียของ LED TV

1.ราคาแพงกว่า จอLCD และ Plasma
2.ตลาดยังไม่ได้รับความนิยม และยังมีราคาแพง

ข้อเสียของ Plasma TV

1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น (ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์)
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่น หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากว่าทั้งจากตัวทีวีเอง และการทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเพราะ Plasma TV มีความร้อน ออกมาจากตัวเครื่องมากกว่า
5.ค่าซ่อมแพง ซ่อมต้องซ่อมเปลี่ยนทั้งหลอดภาพหมดทั้งชุด